วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหย และ ความแตกต่างของน้ำมันหอมระเหยที่สกัดแต่ละแบบ
หลักการสำคัญในการเลือกนำมาใช้เพื่อ Aromatherapy นั้น การเลือกวิธีการ สกัดที่เหมาะสมนั้นก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญค่ะ นอกจากการที่เราจะคัดเลือก น้ำมันหอมระเหยที่เป็นของแท้ แล้ว เรายังต้องพิจรณาจากวิธีการสกัดด้วยค่ะ เพราะว่า การสกัดบางวิธีก็เป็นการใช้ สารละลาย (Solvent) ที่เป็นสารเคมี หรือ เป็นกรรมวิธีที่มีสารเคมีปนเปื้อนมาได้ค่ะ ในบทความนี้เราจะมาอธิบายอย่างละเอียดค่ะ แบบไหนใช้ได้ แบบไหนใช้ไม่ได้มาดูกัน
อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับ น้ำมันหอมระเหย คลิกที่นี่
สารบัญ
- วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยแบบไอน้ำ (Steam Distillation)
- วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยแบบสกัดเย็น (Cold Press)
- วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยใช้สารละลาย (Solvent)
- วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide Extraction)
- วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการแช่ในน้ำมัน (Maceration)
- วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการใช้ไขมันดูดกลิ่น (Enfleurage)
วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยแบบไอน้ำ (Steam Distillation)
วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้มาตั้งแต่โบราณเลยค่ะซึ่งมีมามากกว่า 5000 ปีแล้วค่ะ วิธีนี้เป็นวิธีเราแนะนำให้สกัดเพื่อการนำมาใช้ในเชิงบำบัด (Aromatheraphy) เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย ใช้ต้นทุนไม่มากในการสกัด และได้น้ำมันหอมระเหยที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารเคมีเจือปน โดยเราจะมีวิธีการดังนี้
- การเตรียมพืช : ในขั้นตอนนี้เราจะนำพืช ไม่ว่าจะเป็นส่วน ดอก ใบ เปลือก ราก หรือ ส่วนอื่นๆ ที่มีการสะสมของน้ำมัน โดยขึ้นอยู่กับชนิตของพืชว่าจะใช้ส่วนไหน นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อช่วยให้ไอน้ำสามารถดึงสารหอมออกมาจากพืชได้ง่ายมากขึ้นค่ะ
- นำเข้าถังอบไอน้ำ : ในขั้นตอนนี้เราจะใช้วิธีต้มน้ำร้อนต้มเดือดประมาณ 100-110 องศาเซลเซียส และ ตะแกรงวางพืชที่เราเตรียมไว้ให้อยู่เหนือน้ำเดือดค่ะ แล้วเราก็ปิดฝาหม้อ ( ถ้านึกไม่ออกก็คือการนึ่งนั่นแหละค่ะ)
- ไอน้ำดึงสารหอม : ในขั้นตอนนี้ ไอน้ำที่เกิดจากน้ำเดือดจะผ่านพืชที่เรานึ่งไว้ค่ะ ซึ่งไอน้ำเนี่ยแหละ จะสามารถดึง น้ำมันหอมระเหยออกมาจากพืชได้ โดยไอน้ำจะไม่ได้ดึงสารที่เป็นพวกโลหะหนัก อย่างเช่น สเตียรอย อัลคาลอยด์ ออกมาด้วยค่ะ แม้ว่าพืชจะไม่ได้เป็นพืชออร์แกนิค แต่ถ้าหากสกัดด้วยวิธีนี้ก็ไม่ต้องกลัวเลยค่ะ ว่าจะมีสารเคมีเจือปน
- ควบแน่น : ในขั้นตอนนี้ เราจะมีท่อต่อจากถังต้ม ไปต่อกับ คอนเดนเซอร์ ที่สามารถทำความเย็น เพื่อให้ ไอน้ำได้กลั่นตัวกลายเป็นน้ำค่ะ ( หากนึกไม่ออกให้นึกถึงทฤษฎีที่ฝนตก ที่ความร้อน เจอ ความเย็น กลายเป็นฝน) คือหลักการเดียวกันค่ะ
- ได้ผลผลิต : ในขั้นตอนนี้เราจะได้น้ำมันหอมระเหย ที่ลอยอยู่บนน้ำอีกที เนื่องจากเราใช้น้ำต้มเพื่อให้เกิดไอน้ำ ดังนั้น เราก็จะได้น้ำที่ผสมกับน้ำมันหอมระเหยออกมาด้วย ซึ่งเราก็จะกรอกเอาแต่น้ำมันหอมระเหยออกมาค่ะ ส่วนน้ำที่ได้จากการสกัดเราจะเรียกว่า Hydrosal ค่ะ จริงๆมันก็คือ น้ำปล่าวที่มีโมเลกุลของน้ำมันหอมระเหยแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กมากจนไม่สามารถแยกออกจากน้ำได้ค่ะ ที่เรารู้จักกันก็เช่น Rose Water ที่เรานิยมมาใช้สเปรย์บำรุงผิวหน้า และใช้ในอุตหกรรมเครื่องสำอางนั้นแหละค่ะ จริงๆมันก็คือ น้ำมันหอมระเหยที่ละลายน้ำ นั่นแหละ
วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยแบบสกัดเย็น (Cold Pressed)
วิธีการสกัดแบบการสกัดเย็น เป็นวิธีการสกัดที่ไม่ใช้สารเคมีนะคะ เรานิยมใช้สกัดพืชกลุ่มของ Citrus เช่น ส้ม มะนาว เลม่อน ส้มโอ เนื่องจากพืชกลุ่มนี้เราสามารถพบน้ำมันได้มากที่เปลือก โดยมีวิธีการดังนี้ค่ะ
- ล้างพืชให้สะอาด : เราจำเป็นที่จะต้องมีการล้างทำความสะอาดพืชให้ดีค่ะ เพื่อวิธีการนี้ก็คือการ บีบคั้นเอาน้ำมัน ออกมานั่นแหละ จำเป็นต้องสะอาดค่ะ
- นำเข้าเครื่องที่กรีดเปลือก หรือ บด : การกรีดเปลือกทำให้การบีบคั้นน้ำมันหอมระเหยออกมาง่ายขึ้นค่ะ
- นำเข้าเครื่องบีบเย็น : ขั้นตอนการบีบ เรามักจะได้ น้ำที่อยู่ในพืช และ น้ำมันหอมระเหย หรือ Fixed Oil ออกมาด้วยกันนะคะ ถ้าพืชไหนมีอะไรมากมันก็ออกมาด้วยกันหมดค่ะ
- นำเข้าเครื่อง Centrifuge : เครื่องนี้ก็คือเครื่องปั่นความเร็วสูงค่ะ เพื่อแยกน้ำกับน้ำมันออกจากกัน (ถ้านึกไม่ออกให้เรานึกถึงเวลาที่คลินิกความงามเอาเลือดเราไปปั่น เพื่อเอามาฉีดหน้าเรา นั่นแหละค่ะ แบบเดียวกัน)
วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยใช้สารละลาย (Solvent)
การสกัดโดยใช้สารละลายนั้นทำได้หลายวิธีนะคะ และ สามารถใช้สารละลายได้หลายตัว แต่ผลลัพธ์ที่ได้เราจะเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป โดยพืชที่ใช้ในการสกัดด้วยวิธีนี้เราจะไม่นำมาใช้ใน Aromatheraphy ทุกกรณีค่ะ เพราะแน่นอนว่าจะมีเคมีเจือปน และ พืชที่เลือกใช้ก็ควรจะเป็นพืชออร์แกนิคด้วยค่ะ ซึ่งเราก็สามารถแบ่งได้เป็นการสกัดโดยใช้สารละลายแบบร้อน และ แบบเย็น ดังนี้ค่ะ
การสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยสารละลายแบบร้อน
1.1 สกัดด้วย Ethanol (แบบไม่ De-Nature) เราจะใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Soxhlet Extractor โดยการนำพืชลงไปต้มใน Ethanol นั่นแหละค่ะ ซึ่ง Ethanol สามารถดึงสารสำคัญของพืชที่ละลายน้ำ (Water Soluble) และ ละลายน้ำมัน (Oil Soluble) ได้ทั้ง 2 อย่างเลยค่ะ เราก็จะได้ Crude Extract ออกมา จากนั้นเราก็จะนำ Crude Extract นั้นไปไล่ สารละลายออก ในที่นี้ก็คือ Ethanol โดยใช้ Vaccum Evaporator ค่ะ เราก็จะได้ Oreorasin ซึ่งก็จะได้ทั้งสารสำคัญของพืชที่เป็นน้ำมัน และ น้ำรวมอยู่ด้วยค่ะ
1.2 สกัดด้วย Petroleum Ether หรือ Hexane เราก็จะใช้เครื่องมือ Soxhlet Extractor นั่นแหละค่ะ แต่จะแตกต่างกันที่เราจะต้องควบคุมอุณภูมิจุดเดือดตามชนิตของสารละลาย ซึ่งในที่นี้จะอยู่ที่ประมาณ 60 องศา ค่ะ โดยน้ำมันหอมระเหยมีจุดระเหยที่ 25 องศา โดยในสารละลายเป็นสารละลายประเภท Non-Polar ซึ่งสามารถดึงน้ำมันได้ค่ะ ดังนั้นเราก็จะให้สารละลายประเภทนี้ช่วยกลั่นน้ำมันหอมระเหยออกมาค่ะ เราก็จะได้ Crude Extract และต่อมาเราก็ ใช้ Vacuum Evaporator ไล่สารละลายนี้ออกไปค่ะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สารละลายนี้มันมีอุณภูมิที่ใกล้เคียงกับน้ำมันหอมระเหยค่ะ ดังนั้นยังไงมันก็ไล่ออกไม่หมด ดังนั้นเลยเป็นที่มาว่า ทำไมเราถึงไม่ใช้น้ำมันหอมเหยที่สกัดโดยวิธีนี้ไปบำบัด และน้ำมันหอมระเหยนี้เราก็จะไม่เรียกว่า Essential Oil ค่ะ แต่เราจะเรียกว่า Absolute Oil
การสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยสารละลายแบบเย็น
2.1 วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายมากค่ะ ก็คือเราจะนำพืช ไปแช่ลงใน Ethnol ค่ะ โดยผลผลิตเราจะต้องมี 70 ดีกรีขึ้นไป เราจะเรียกว่า Tincure ค่ะ ซึ่งใน Ethanol ถ้าเราใช้ แบบ 96 ดีกรี เราก็จะต้องใช้ พืชประมาณ 20% อีก 80% ก็เป็น Ethanol ค่ะ เราก็จะได้ Tincure ออกมาใช้แล้วค่ะ ซึ่งใน Tincture ก็จะมีสารละลายน้ำ และ น้ำมันผสมกันอยู่ เพราะ Ethanol สามารถดึงได้ทั้งน้ำและน้ำมันค่ะ
วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide Extraction)
การสกัดแบบใช้คาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารละลายนั้นเป็นวิทยาการการสกัดที่ดีที่สุดในปัจจุบันค่ะ เนื่องจาก ไม่มีการใช้ความร้อน ได้น้ำมันหอมระเหยที่บริสุทธิ์ แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนการผลิตแพง เพราะเครื่องราคาสูงมากค่ะ โดยหลักการเราจะใช้เครื่องสกัดแรงดันสูง Supercritical Fluid Extraction (SFE) โดยเราจะใช้ คาร์บอนไดออกไซด์เหลว กับแรงดันที่สูงเหนือจุดวิกฤต (จุดที่ของเหลวกับแก๊สไม่สามารถอยู่ในสถานะเดียวกันได้) แล้วเราก็ปล่อยให้ คาร์บอนไดออกไซด์ ระเหิดในสภาวะปกติ เราก็จะได้น้ำมันหอมระเหยที่บริสุทธิ์มากๆแล้วค่ะ
วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการแช่ในน้ำมัน (Maceration)
วิธีนี้เป็นที่นิยมในต่างประเทศมากค่ะ เพราะทำได้ง่ายมาก ก็คือ เราจะใช้ พืช ลงไปแช่กับ Fixed Oil เลยค่ะ อาจจะเป็น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันรำข้าว น้ำมันอโวคาโด เพื่อให้น้ำมัน ทำหน้าที่ ดึง น้ำมันหอมระเหยออกมา ในบ้านเราก็มีการใช้วิธีนี้อยู่เหมือนกันค่ะ เช่น การผลิต น้ำมันเขียว ค่ะ เราจะใช้ เสม็ดขาว (Cajuput) ลงไปแช่กับ น้ำมัน Fixed Oil ค่ะ เราก็จะได้น้ำมันเขียว ที่จริงๆแล้ว มันก็คือ น้ำมันหอมระเหย ผสมกับ Fixed Oil และ pigment ของพืช ที่ถูกจัดเป็นยาสามัญประจำบ้านชนิดหนึ่ง ซึ่งเราจะใช้รับประทานแก้ไอและไข้หวัด รักษาอาการเป็นตะคริวของกระเพาะอาหาร อาการปวดบวมในลำไส้ และหอบหืด ใช้ทาภายนอกรักษาอาการปวดประสาทและปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ แล้วค่ะ ซึ่งมันก็คือ สรรพคุณของ เสม็ดขาวนั่นเองค่ะ
วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการใช้ไขมันดูดกลิ่น (Enfleurage)
วิธีนี้เป็นวิธีการสกัดกลิ่นในรูปแบบของการใช้ไขมันดูดกลิ่นค่ะ เพราะ น้ำมันมักจะละลายได้ในน้ำมัน เราเลยใช้ไขมันในการเก็บกลิ่นค่ะ ซึ่งเป็นที่นิยมในฝรั่งเศส โดยเราจะใช้ ไขพืช เช่น เชียร์บัตเตอร์ Sheabutte หรือ อื่นๆ อันนี้แล้วแต่ มาอบไว้กับพืช หรือ ดอกไม้เพื่อเก็บกลิ่นค่ะ แล้วเราก็เปลี่ยนดอกไม้ไปเรื่อยๆเพื่อให้ Sheabutter ดูดกลิ่นจนอิ่มตัว เราก็จะได้ ไขมันพืชที่มีกลิ่นหอมออกมา เราเรียกว่า Pommade ถ้าหากเราอยากจะนำ Pommade ไปทำออกมาให้เป็นน้ำมันหอมระเหย เราก็ไปใช้ Solvent สกัดออกมาอีกทีค่ะ แล้วก็ใช้เครื่อง Vaccum Evaporator ดูดสารละลายออก เท่านี้เราก็จะได้น้ำมันหอมระเหยออกมาแล้วค่ะ เราเราจะเรียกว่า Enfleurage Abosolute Oil ค่ะ
สรุป
- Stream Distillation & Hydro Distillation จะได้น้ำมันหอมระเหยที่บริสุทธิ์นำมาใช้ Theraphy ได้
- Cold Expression การบีบเย็นพืชควรจะเป็นออร์แกนิคถึงจะนำมาบำบัดได้ เพราะการสกัดแบบนี้จะได้สารเคมีที่อยู่ในพืชติดมาด้วย
- Solvent Extraction เราจะไม่นำมาใช้บำบัดในทุกกรณีค่ะ เพราะยังไงเราก็ไล่สารละลายออกไม่หมด และเราจะไม่เรียกผลผลิตว่า Essential Oils ด้วย เราจะเรียกว่า Absolute Oils
- Carbondioxide Extraction เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะไม่ต้องใช้ความร้อน และได้น้ำมันที่บริสุทธิ์นำมาใช้บำบัดได้
- Maceration เป็นวิธีบ้านๆ คือการเอาน้ำมันละลายน้ำมันหอมระเหยในพืชแล้วเอามาใช้ พืชควรจะออร์แกนิค และ สะอาดค่ะ เพราะเราต้องแช่ลงไปในน้ำมันเลย
- Enfleurage เป็นวิธีที่เรามีพืชจำกัดแต่อยากเก็บกลิ่นไว้ค่ะ เพราะบางทีพืชบางชนิตให้น้ำมันน้อย ไม่คุ้มต่อการเก็บมาสกัดทีละเยอะๆ ก็ใช้วิธีนี้เก็บกลิ่นได้ค่ะ