dustmite-cleanser

เปิดประวัติ 6000 ปี การใช้น้ำมันหอมระเหยตั้งแต่ยุคแรก จนถึง ยุคปัจจุบัน

history 0f eo

การใช้น้ำมันหอมระเหยนั้น มีมายาวนานมากกว่า 6000 ปีอีกนะคะ ซึ่งคนในยุคโบราณนั้นก็มีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ทั้งในชีวิตประจำวัน และ ใช้ในทางพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ มาหลายยุคหลายสมัย บ้างก็ใช้ในพิธีการฝังศพเพื่อส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่อ้อมอกของพระเจ้า บ้างก็ใช้เป็นเครื่องประทินผิว หรือ แม้กระทั่งใช้เป็นยารักษาโรค เราจะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นมีการนำศาสตร์ของธรรมชาติ และ สมุนไพรต่างๆ มาใช้ไม่รู้กี่ยุคกี่สมัยแล้ว ซึ่งใน ปัจจุบันเรื่องนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน แม้ว่าจะมีเทคโนโลยี และ วิทยาการทางการแพทย์ก้าวล้ำ แต่สมุนไพร และ ธรรมชาติบำบัดก็ไม่อาจเลือนหายไปได้ เพราะมนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มาตั้งแต่โบราณกาลแล้วค่ะ

อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับ น้ำมันหอมระเหย คลิกที่นี่

บริการกำจัดไรฝุ่น

ประวัติศาสตร์การใช้น้ำมันหอมระเหยในยุคอียิปต์โบราณ

ประวัติศาสตร์อียิปต์

ย้อนกลับไปในยุคอียิปต์โบราณ  ชาวพื้นเมืองมักจะถูกใช้แรงงานเพื่อสกัดน้ำมันหอมระเหยให้บรรดาชนชั้นสูงใช้ ซึ่งก็ได้มีวิทยาการการสกัดน้ำมันหอมระเหยออกมาจากพืชด้วยการกลั่นไอน้ำ (Steam Distillation)มาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วค่ะ 

อียิปต์นั้นถือเป็นชนชาติแรกในโลกที่ได้มีการนำพืชมาสกัดและใช้จริงๆจังๆ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยนี้จะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรค รวมไปถึง พิธีกรรมการทำมัมมี่ด้วยค่ะ ซึ่งชาวอียิปต์โบราณนั้นเชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตาย จึงต้องรักษาสภาพศพให้ไม่เน่าเปื่อยค่ะ โดยใช้น้ำมันหอมระเหยเหล่านี้ มาทาลงบนศพเพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยค่ะ

  1. Frankincense
  2. Myrrh
  3. Galbanum
  4. Cinnamon
  5. Cedarwood
  6. Juniper Berry 
  7. Spikenard 

ในปี 1923 สุสานของฟาร์โร ได้ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดี และในสุสานนั้นก็มีไหที่บรรจุน้ำมันหอมระเหยเต็มๆไหอยู่ถึง 50 ไห เลยทีเดียวค่ะ ซึ่งก็เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่า ชาวอียิปต์นั้นใช้น้ำมันหอมระเหยในทางศาสนา และ การทำมัมมี่

โดยเฉพาะการการทำพิธีกรรมเผาศพ จะใช้ไม้ที่มีกลิ่นหอม สมุนไพรต่างๆ ที่มีกลิ่น มาใช้ในการเผาศพ เพื่อส่งดวงวิญญาณคนตายไปสู่สวรรค์  รวมไปถึงตามวิหารบูชาเทพเจ้าก็จะมีการสกัด และ ผลิตน้ำมันหอมระเหย เพื่อมาใช้ประกอบพิธีกรรม 

นอกจากนี้ยังได้มีการค้บพบ บันทึกสลัก กระบวนการผลิตน้ำมันหอมระเหยบนฝาผนัง ในรูปแบบอักษรภาพอียิปต์ด้วยค่ะ (Hieroglyphics) ชาวอียิปต์โบราณยังใช้น้ำมันหอมระเหยในชีวิตประจำวันอีกด้วยนะคะ ผู้หญิงก็มักจะใช้น้ำมันหอมระเหยมาทาตัวหลังจากการอาบน้้ำ และ นำมาทาบนผิวเพื่อรักษาความเยาว์วัย และ ป้องกันแสงแดด ด้วยค่ะ

ประวัติศาสตร์การใช้น้ำมันหอมระเหยจีน

ประวัติศาสตร์การแพทย์จีน
ชาวจีนโบราณเชื่อในพลังของน้ำมันหอมระเหย มีหลายทฤษฎีที่กล่าวว่า จริงๆแล้ว ชาวจีนนั้นอาจจะเป็นผู้เริ่มต้นศึกษาและใช้น้ำมันหอมระเหยมาก่อนชาวอียิปต์ซะด้วยซ้ำซึ่งมีบันทึกข้อความทางการแพทย์จีนซึ่งมีอายุมากกว่า 2700 ปี ก่อนคริสกาล ก็ได้บันทึกถึงการใช้สมุนไพรและน้ำมันหอมระเหยมาทดสอบผลลัพธ์ทางการรักษา
 
อีกทั้งขุนนางชั้นสูงในสมัยราชวงค์ถังก็ได้ใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อสร้างกลิ่นหอมในบ้าน ใช้เป็นน้ำหอมใส่เสื้อผ้า รวมไปถึงเครื่องสำอางด้วยค่ะ
 

ในการแพทย์จีนนั้นจะแบ่งสมุนไพรออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ

  1. สมุนไพรที่ให้ความร้อน
  2. สมุนไพรที่ให้ความเย็น
สมุนไพรบางตัวก็สามารถทำให้ตื่นตัว ในขณะที่บางตัวก็ทำให้สงบลงได้ สมุนไพรแต่ละชนิดนั้นได้มีการอธิบายโดยใช้แนวคิดต่างๆ ของ “Qi” (พลังชีวิต หรือ ลมปราน) และ “Yin-Yang” (หยินหยาง) เป็นรากฐานของระบบการแพทย์นี้ เช่น
 
  1. ถ้าหากเรามี Qi ต่ำ เราก็จะมีชีพจรที่อ่อนแอ ระดับพลังงานต่ำ ภาระไทรอยด์ทำงานต่ำ หรือ เกิดภาวะซึมเศร้าได้ค่ะ
  2. ถ้าเราขาดพลัง Yin ก็จะทำให้ ผิวแห้ง อยากอาหาร และ อาจมีปัญหาการนอนหลับ
  3.  ถ้าเราขาดพลัง Yang ก็มักจะมีปัญหาเรื่องความต้องการทางเพศต่ำ นกเขาไม่ขัน มีอาการอ่อนแอทางร่างกาย รวมไปถึง Self-esteem ต่ำ ด้วยค่ะ

เราจะเห็นได้ว่าการรักษาแบบนี้เป็นการใช้ การแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Medicines) โดยอาจจะใช้การวินิจฉัยจากองค์รวมทั้งหมดของร่างกาย เช่น ทางกายภาพ ทางจิตเวช อารมณ์ และ จิต ร่วมเข้าด้วยกัน ทั้งหมดนี้คือ การรักษาแบบองค์รวมขั้นสูงที่ใช้ประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหยมาหลายพันปีแล้วค่ะ

ประวัติศาสตร์การใช้น้ำมันหอมระเหยกรีก

ประวัติศาสตร์กรีก
วิชาพฤกษศาสตร์ หรือ การศึกษาเกี่ยวกับพืชในเชิงวิทยาศาสตร์ นั้นได้เกิดขึ้นในยุคนี้ค่ะ ซึ่งคำว่า พฤกษศาสตร์ (Botany) เป็นภาษากรีกโบราณค่ะ ซึ่งแปลว่า ทุ่งหญ้า ในอดีต สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนั้นถูกจัดเป็น 2 ประเภทเท่านั้น ก็คือ พืช และ สัตว์
 
การศึกษาเรื่องพฤกษศาสตร์นั้นเป็นการศึกษาสิ่งมีชีวิตหมด ที่ไม่ใช่สัตว์ดังนั้น การศึกษาเรื่องน้ำมันหอมระเหยในยุคนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ชาวกรีกโบราณ นั้นให้ความสำคัญ และ มีการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังมากๆ โดยมีงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นบุคคลสำคัญระดับโลก ดังนี้
 
ฮิปโปเครตีส ถือว่าเป็น “ บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก” เขาได้จดบันทึก สมุนไพรมากกว่า 200 ชนิต และวิธีการใช้สมุนไพรในการบำบัดรักษามนุษย์ เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ธรรมชาติบำบัดนั้นสามารถช่วยชีวิตคนได้ และ เราควรที่จะใช้วิธีการผ่าตัดในการรักษาเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
ในสมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าโรคร้ายต่างๆนั้นเกิดจากการลงทัณฑ์จากพระเจ้า แต่ ฮิปโปเครติส นั้นเป็นบุคคลแรกๆที่พิสูจน์ว่า โรคภัยต่างๆนั้นเกิดโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากพระเจ้า
 
เขาเป็นผู้ก่อตั้ง และ คิดค้นวิชา พฤกษศาสตร์ค่ะ มีงานวิจัยเกี่ยวข้องกับพฤกษศาสตร์มากมาย ประวัติความเป็นมาของพืช สรรพคุณทางยา รวมไปถึง สรรพคุณทางกลิ่นที่แตกต่างกันของพืชแต่ละชนิต ว่ามีผลต่อ ของมนุษย์อย่างไร และบันทึกของเขาได้กลายมาเป็น แหล่งอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ในหลายทตศวรรตต่อมา
 
เขาเป็นแพทย์ทหาร และ นัก พฤกษศาสตร์ ชาวกรีกโบราณ เขาได้เขียนหนังสื่อ ชื่อว่า De Materia Medica (แปลว่า อุปกรณ์ทางการแพทย์) ซึ่งต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้นำมาพัฒนา
เป็นวิชาทางเภสัชกรรมสมัยใหม่ ซึ่งเขาได้บันทึก สมุนไพรต่างๆ มากกว่า 600 ชนิต โดยมีรายละเอียดตั้งแต่ วิธีการหาพืช การเก็บรักษา และ คุณสมบัติทางยา อย่างละเอียด
 
เขาเป็นแพทย์ผ่าตัด และ เป็นนักปรัชญา ชาวกรีกโบราณ ซึ่งอาศัยอยู่ในอาณาจักรโรมัน ค่ะ เขาเริ่มทำอาชีพแพทย์โดยการรักษาบาดแผลด้วยสมุนไพร  เขามีชื่อเสียงจากการที่ช่วยเผยแพร่คำสอน  และ แผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสารต่างๆในร่างกายมนุษย์ที่ตอบสนองต่อตัวยา ซึ่งทำให้แพทย์นั้นสามารถกำหนดตัวยาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
 
ในยุคนี้ถือว่ามีการศึกษาเรื่องพืช และ น้ำมันหอมระเหย ด้วยนักปราชญ์ระดับโลกหลายท่านเลย ซึ่งทำให้วิทยาการทางการแพทย์ในยุคนี้นั้นเฟืองฟูมากๆ และ เป็นรากฐานสู่การแพทย์สมัยใหม่ค่ะ

ประวัติศาสตร์การใช้น้ำมันหอมระเหยยุคสงครามครูเสต

plague
การใช้น้ำมันหอมระเหยจากกรีซ ก็ได้เผยแพร่มาถึงกรุงโรม และได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน ชาวเปอร์เซีย ก็ได้นำเทคนิกการใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อการบำบัด รวมไปถึง วิธีการสกัดแบบโบราณทำให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งเราก็ใช้วิธีนี้มาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ วิธีสกัดด้วยไอน้ำ (Steam Distillation)
 
การรักษาแบบองค์รวมแบบนี้มักถูกต่อต้านในช่วงยุคมืด พระสงฆ์จึงแอบเก็บรักษาน้ำมันหอมระเหย และ สมุนไพรไว้ในที่ลับ ทั้งนี้เพื่อใช้ในการดับกลิ่นเหม็นเท่านั้น ในตอนนั้นผู้คนยังไม่ได้มีความรู้เรื่องน้ำมันหอมระเหยมากนัก จึงยังไม่ทราบว่า น้ำมันหอมระเหยนั้น สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ นั่นหมายความว่า น้ำมันหอมระเหยก็สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้เช่นกัน
 
ในยุคนี้ก็ยังมีบางคนเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บ เป็นการลงโทษจากพระเจ้า และ เชื่อว่า น้ำมันหอมระเหยนั้นสามารถใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้ จากเหตุการณ์ดังนี้
 
1. กาฬโรคระบาด 
ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก มีการนำ น้ำมันหอมระเหย รวมไปถึง น้ำที่ได้จากการสกัดน้ำมันหอมระเหย (Hydrosal) ไปฉีดพ่นตามวิหาร เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น ไม่มีการติดเชื้อแต่อย่างใด ทำให้ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่า น้ำมันหอมระเหยนั้น สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้
 
2. เหตุการณ์ปล้นสุสาน
หลักจากที่น้ำมันหอมระเหยได้รับความนิยม และ ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรป  และได้มีการใช้ น้ำมันหอมระเหยขับไล่โรคภัยไข้เจ็บออกไปจากเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน หรือ ที่ทำงาน ทุกๆที่มักจะถูกรมด้วยน้ำมันหอมระเหย เพื่อปกป้องพลเมืองจากโรคร้าย น้ำมันหอมระเหยจึงมีมูลค่าที่สูงมาก โดยเฉพาะ น้ำมันหอมระเหยกำยาน (Frankincense) กุหลาบ (Rose) ลาเวนเดอร์ (Lavender)
 
กลุ่มโจรที่พยายามปล้นสุสานนั้นรอดชีวิตจากการติดเชื้อร้ายในสุสานได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อพวกเขาถูกจับได้ก็ถูกเค้นหาความจริง ปรากฎว่าหนึ่งในโจรกลุ่มนี้ เป็นลูกชาวของนักปรุงน้ำหอม และ นักสมุนไพร  เขาได้เรียนรู้วิชาการใช้น้ำมันหอมระเหยจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก จึงได้ผสมน้ำมันหอมระเหย และทาลงไปบนตัวก่อนทำการปล้นทุกครั้ง เพื่อป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคในสุสาน ซึ่งมีสูตรดังนี้
 
1. ยูคาลิปตัส (Eucalyptus)
2. กานพูล (Clove)
3. โรสแมรี่ (Rosemary)
4. ไธม์ (Thyme)
 
แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่จริงคือ สูตรน้ำมันที่ใช้ในการผสมนั้น เคยเป็นที่รู้จัก และ ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในการป้องกันโรคระบาดที่เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติมาแล้วค่ะ

การใช้น้ำมันหอมระเหยในยุคปัจจุบัน

ในปี ศตวรรษที่ 18 บริษัทยาได้เริ่มมีการก่อตั้งขึ้น เช่น Abbott Parke-Davis Squibb รวมไปถึงบริษัท Pfizer Bayer Merck และ Johnson & Johnson ซึ่งในช่วงแรกบริษัทเหล่านี้ก็ใช้ยาที่สกัดมาจากพืช ในขณะเดียวกัน ยาสังเคราะห์ก็กำลังเป็นที่นิยม
 
ศตวรรษที่ 20 น้ำมันหอมระเหยก็เลือนหายไป ผู้ผลิตยา และ ผู้บริโภค หันมาใช้ยาสังเคราะห์แทน ซึ่งในช่วงนั้นยาสังเคราะห์ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ผู้คนให้ความสนใจ ทำให้การแพทย์พื้นบ้านนั้นดูล้าสมัยไป
 
ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 น้ำมันหอมระเหยได้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งเมื่อ  René-Maurice Gattefossé นักเคมีชาวฝรั่งเศส ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ในห้องทดลอง แล้วบังเอิญนำมือที่ถูกไฟลวกไปแช่ในขวดโหลที่ใส่น้ำมันลาเวนเดอร์ ซึ่งผลปรากฎว่า บาดแผลนั้นสมานเร็วมาก และ ไม่มีอาการของแผลเป็นเกิดขึ้นเลย จากนั้นเขาก็ได้นำน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์มาศึกษาคุณสมบัติ และ นำมาใช้ในการรักษาโรคผิวหนัง และ บาดแผลไฟไหม้ประเภทอื่นๆ
 
ทำให้ René-Maurice Gattefossé มีชื่อเสียงจนได้กลายมาเป็น บิดาแห่ง อโรมาเทอราพี (Father of Aromatheraphy) และจากงานวิจัยของเขา น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ (Lavender) ก็ได้ถูกนำไปใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่งในฝรั่งเศส และที่สำคัญ ในช่วงเหตุการณ์ระบาดของไข้หวัดสเปน ไม่มีรายงานการเสียงชีวิตของบุคลากรในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นผลของน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์นั่นเองค่ะ
 
หลังปี ค.ศ. 1980 น้ำมันหอมระเหยก็ได้ถูกนำกลับมาใช้ เมื่อผลิตภัณฑ์ต่างๆนั้น ใช้ส่วมผสมของน้ำมันหอมระเหยลงไปเพื่อการบำบัด เช่น โลชั่น เทียนหอม น้ำหอม และได้ถือกำเนิด ผู้เชี่ยวชาญ และ นักบำบัด นักสมุนไพร และ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวนมาก ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำว่า น้ำมันหอมระเหยนั้นเป็นที่นิยมใช้ในการบำบัดรักษา และ ไม่มีผลข้างเคียง เมื่อใช้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
 
ซึ่งแตกต่างจากยาสังเคราะห์ ซึ่ง ยาไม่จำเป็นต้องซับซ้อนมาก สุขภาพและการรักษาไม่จำเป็นต้องเข้าใจยาก คุณต้องปลดล็อกพลังของธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง เพื่อให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น และ มีความสุข มีสุขภาพดีสำหรับคุณและครอบครัวของคุณ

สรุป

  • อียิปต์ มีการใช้น้ำมันหอมระเหยมากว่า 6000 ปี มีวิทยาการการสกัดน้ำมันออกมาใช้ในการทำพิธีกรรมศักสิทธิ์ เช่น การทำมัมมี่ รวมไปถึงการใช้ดูแลผิวพรรณต่างๆของพระนางคลีโอพัทตรา
  • จีน มีการศึกษาและบันทึกสมุนไพร วิธีการรักษา คุณสมบัติต่างๆของน้ำมันหอมระเหย โดยใช้ระบบ Yin-Yang และ Qi เป็นพื้นฐาน
  • กรีก เกิดนักปราชญ์หลายท่านที่ค้นคว้าเรื่องพฤกษศาสตร์ และ ศึกษาเรื่องการใช้น้ำมันหอมระเหยในการรักษาโรค
  • ยุคสงครามครูเสด น้ำมันหอมระเหยได้รับการเผยแพ่มาที่โรมัน และในช่วงที่เกิดโรคระบาดอย่างหนักน้ำมันหอมระเหยก็ได้ช่วยให้ผู้คนรอดตายจากวิกฤตโรคระบาดร้ายแรงอย่าง กาฬโรค
  • ยุคปัจจุบัน ในช่วงศตวรรษที่ 20 น้ำมันหอมระเหยนั้นเกิดเสื่อมความนิยมเนื่องจากมีบริษัทยาสังเคราะห์เกิดขึ้นมากมาย จนในปี พ.ศ. 2471 René-Maurice Gattefossé (Father of Aromatheraphy) ได้ทำงานวิจัยจนน้ำมันหอมระเหยค่อยๆกลายเป็นที่นิยมอีกครั้ง จนในช่วงปี 1980 ก็ได้มีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วมผสมของน้ำมันหอมระเหยออกมา และผู้คนก็เข้าหาธรรมชาติมากขึ้น จนน้ำมันหอมระเหยนั้นกลับมาอีกครั้งจนถึงทุกวันนี้
dustmite-cleanser