Home / Essential Oils / Spearmint Essential Oil
Spearmint Essential Oil
- ชื่อทางพฤกษศาสตร์ : Mentha spicata
- วิธีการสกัด : สกัดด้วยไอน้ำ (Steam Distillation)
- ประเทศต้นกำเนิด : United States
- คำเตือน : เจือจางด้วยความเข้มข้นไม่เกิน 1.7% ควรเก็บให้ห่างจากมือเด็ก และผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน


ข้อมูลผลิตภัณฑ์
วิธีการใช้
ใช้สูดดม : หยดน้ำมันหอมระเหย 2-3 หยด ต่อน้ำสะอาด 100 ml ลงในเครื่องกระจายกลิ่น
ใช้ภายนอก : กรุณาเจือจางในน้ำมันเบสด้วยความเข้าข้นไม่เกิน 1.7% ก่อนใช้งาน
น้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์ (Spearmint Essential Oil)
น้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์นั้นมีความคล้ายน้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินต์ แต่จะมีความอ่อนโยนมากกว่า ดังนั้นอาจจะเหมาะสำหรับเด็กมากกว่า ซึ่งสเปียร์มินต์นั้นจะให้กลิ่นที่สดชื่น และ หวาน มักถูกใช้มาเป็นส่วนประกอบของ น้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน ลูกอม หมากฝรั่ง เพื่อให้ความสดชื่น หรือ อาจจะนำมาทำชามินต์โดยใช้ใบสด หรือ ใบแห้ง เนื่องจากสเปียร์มินต์จะมีกลิ่นที่หอม และ ไม่มีสารที่มีรสขมเหมือน เปปเปอร์มินต์

คุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์
-
ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร
ในน้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์นั้นสามารถช่วยให้ย่อยอาหารได้ดี ลดอาการคลื่นใส้อาเจียน รวมไปถึงช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร เนื่องจากสารหอมที่ชื่อว่า Carvone ที่พบในน้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์นั้น ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารดียิ่งขึ้น แก้ลำไส้ใหญ่อักเสบ คลายกล้ามเนื้อเรียบ
-
ต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระนั้นสามารถช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทานกับอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆเช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน เป็นต้น เนื่องจากน่้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์นั้นประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น Rosmarinic acid, Flavones และ กลุ่มของ Flavanones เช่น Limonene และ Menthol
-
ช่วยปรับสมดุลย์ฮอร์โมน
จากงานวิจัยที่ทดลองในเพศหญิง พบว่าการใช้น้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์ ช่วยลดฮอร์โมนเพศชาย และ เพิ่มฮอร์โมนเพศหญิง ที่ช่วยในกระบวนการตกไข่ เช่น Luteinizing Hormone (LH), Follicle-stimulating Hormone (FSH) และ Estradiol.
-
ลดการเกิดของเส้นขน
เนื่องจากการใช้น้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์เป็นประจำจะทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลง และเป็นการเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิง ก็จะส่งผลให้ขนตามร่างกายไม่เกิดขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายลดน้อยลง
-
เพิ่มสมาธิ และ ความจำ
มีงานวิจัยโดยใช้หนูในการทดลอง โดยการใช้หนู 2 กลุ่ม โดยหนึ่งกลุ่มให้สารสกัดสเปียร์มินต์กับหนู และหนูอีกหนึ่งกลุ่มไม่ได้ให้สาร แล้วนำหนูทั้ง 2 กลุ่มไปไว้ในทางวงกตเพื่อหาทางออก พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารนั่นสามารถจดจำเส้นทางได้ดีกว่าหนูที่ไม่ได้รับสารสกัดจากสเปียร์มินต์ และ ยังมีงานวิจัยในมนุษย์พบว่า การใช้น้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์นั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และ ความจำได้ดีมากขึ้น
-
ใช้ต้านการติดเชื้อ
น้ำมันสเปียร์มินต์นั้นสามารถใช้เพื่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคได้อย่างเชื้อ E.coli และ Listeria
-
ลดน้ำตาลในเลือด
มีการทดลองโดยใช้หนูที่อ้วนและมีน้ำตาลในเลือดสูง โดยการให้สารสกัดจากสเปียร์มินต์โดยคิดจากน้ำหนัก 20mg/kg เป็นเวลา 21 วัน พบว่าน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
-
ช่วยลดความเครียด ปวดหัว ไมเกรน
ในอเมริกามักมีการดื่มชาสเปียร์มินต์เพื่อลดความเครียด และ ช่วยบรรเทาอาการโรคนอนไม่หลับ ปวดหัว ไมเกรน และ ช่วยให้ผ่อนคลาย แก้อ่อนเพลียได้ดี ซึ่งเป็นผลมาจากสารหอมในสเปียร์มินต์ที่ชื่อว่า Menthol
-
ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก
สเปียร์มินต์สามารถฆ่าเชื้อในช่องปากได้ดี จึงมักใช้เป็นส่วนผสมของ น้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน ลูกอม และ ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก
-
ช่วยระบบทางเดินหายใจ
สามารถสูดดมเพิ่มความสดชื่น โล่งโปร่งสบาย ลดการอักเสบของหลอดลม แก้ไซนัส และ หืดหอบ
นอกจากนี้ในการบำบัดรักษาแบบพื้นบ้านเรายังสามารถนำน้ำมันสเปียร์มินต์มาใช้เพื่อบำบัดอาการต่อไปนี้
- แก้สิว
- รักษาโรคผิวหนัง
- ไล่แมลง
- แก้หวัด แก้ไข้ และ ไข้หวัดใหญ่
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยเกี่ยวกับการฆ่าเชื้อโดยใช้น้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์พบว่า สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดี ต้านเชื้อแบคทีเรีย และ เชื้อแบคทีเรียในช่องปาก https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6332415/
มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าน้ำมันหอมระเหยสเปียร์มินต์นั้นสามารถต้านจุลชีพ และ เชื้อราได้ https://dergipark.org.tr/en/download/article-file/2787956
ข้อควรระวัง
The International Federation of Aromatherapists นั้นไม่สนับสนุนการบริโภคน้ำมันหอมระเหยเพื่อการบำบัดรักษาเว้นแต่จะกระทำภายใต้การดูแลโดยตรงของแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านอโรมาเธอราพี และข้อความเหล่านี้ยังไม่ได้รับการประเมินโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์นี้จึงไม่ได้มีไว้สำหรับการวินิจฉัย การรักษา การบำบัด หรือการป้องกันโรคใดๆ
ช่องทางการสั่งซื้อสินค้า

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Shopee & Lazada


คำถามที่พบบ่อย
น้ำมันหอมระเหยแท้ แต่ละชนิตนั้นมีราคาไม่เท่ากันมีสาเหตุดังต่อไปนี้
- วัตถุดิบมาจากธรรมชาติ : เนื่องจากราคาพืชแต่ละชนิตไม่เท่ากันค่ะ บางอย่างสกัดมาจากดอกไม้ บางอย่างมาจากเปลือก แน่นอนว่าแต่ละส่วนของพืชก็ราคาไม่เท่ากัน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ค่ะ
- ปริมาณของน้ำมันหอมระเหยในพืชแต่ละชนิตไม่เท่ากัน : เช่น กานพูลมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยประมาณ 1% ของน้ำหนักก็จะได้ปริมาณน้ำมันที่สกัดมากกว่า พืชอื่นๆเช่น ดอกกุหลาบ ซึ่งให้น้ำมันที่ 0.02% นั่นหมายความว่า ดอกกุหลาบ 1 กิโลกรัม จะได้น้ำมันหอมระเหยเพียง 20 กรัม เท่านั้นเอง ดังนั้นกุหลาบจึงมีราคาแพงมากนั่นเอง
- ความยากง่ายของการเพาะปลูก : พืชแต่ละชนิตมีความยากง่ายในการเพาะปลูกไม่เท่ากัน ดังนั้นราคาของวัตถุดิบจึงแตกต่างกันค่ะ รวมไปถึงบางฤดูกาล บางปี ที่ไม่สามารถจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างเพียงพอ ก็อาจจะทำให้ราคาพืชในตลาดโลกนั่นขึ้นลงได้
ดังนั้นถ้าคุณไปเห็นคนที่ขายน้ำมันหอมระเหยทุกกลิ่นราคาเท่ากันหมด หรือ พืชแต่ปลูกยากๆ และสกัดได้น้ำมันน้อย อย่างกุหลาบ แต่ขายในราคาไม่กี่ร้อยบาท (ซึ่งกุหลาบนั่นตลาดโลกขายกันที่ ลิตรละ 7-9 แสนบาทค่ะ) ฟันธงได้เลยว่า มันคือ น้ำหอมเลียนแบบกลิ่นธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่น้ำมันของระเหยแท้ค่ะ ซึ่งคุณสามารถศึกษาต่อในหัวข้อ น้ำมันหอมระเหย คืออะไร ? เพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างข้องแท้ และ ของสังเคราะห์ค่ะ 😊
สินค้าประเภท น้ำมันหอมระเหย รวมไปถึง น้ำมันเบส (Carrier Oils) ทุกแบรนด์ในประเทศไทย ไม่สามารถจด อย หรือ เลขจดแจ้งได้ค่ะ เนื่องจากเป็นสินค้าประเภท วัตถุดิบ (Raw Material) แต่เราจะมีใบรับรองการตรวจสอบวัตถุดิบ หรือที่เรียกว่า ใบ COA (Certificate of Analysis) ซึ่งปกติโรงงานผู้ผลิตที่นำไปใช้ในการผลิตสินค้าจะต้องนำใบนี้ไปยื่นกับทาง อย เพื่อขอเลขจดแจ้งอีกทีในกรณีที่นำวัตถุดิบไปแปรรูปทำผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ใช้กับร่างกาย เช่น เครื่องสำอาง เป็นต้น
แล้วในเมื่อเป็นวัตถุดิบ สามารถนำมาใช้กับร่างกายได้โดยตรงเลยหรอ ? คำตอบคือได้ค่ะ เพราะวัตถุดิบบางอย่างนั้น สามารถใช้ได้โดยตรงกับร่างกายเลยค่ะ บางครั้งดีกว่าการเอาไปแปรรูปผ่านความร้อนให้เสียคุณค่าซะอีก
การทำงานของน้ำมันหอมระเหยนั้น จะทำงานโดยการเป็นสารตั้งต้น (Pre-cursor) ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เราไม่สมดุลย์ หรือ มีความผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคและอาการต่างๆ ให้กลับมาทำงานเป็นปกติ ซึ่งเป็นกลไกทางธรรมชาติค่ะ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยนั้น สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ช่องทาง ได้แก่
- การกิน : จะได้ปริมาณโดสที่สูง ซึ่งในพืชบางชนิตการรับประทานเพียง 1 หยดนั่นก็มากเกินความต้องการต่อวันของร่างกายแล้ว ดังนั้นจึงต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง
- การดม : หลายคนคิดว่าการดมนั้นมีโดสที่ต่ำ จนไม่สามารถส่งผลอะไรกับร่างกาย ถ้างั้นคุณลองคิดดูว่าทำไมวิธีการฆ่าคนที่ไวที่สุดในประวัติศาสตร์ คือการรมยมพิษล่ะ ?
- การทา : การทานั้นสามารถซึมเข้าสู่่กระแสเลือดและเซลล์ได้ เพราะ เยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์นั้นเป็น Lipid หรือ น้ำมันค่ะ ดังนั้นน้ำมันหอมระเหยนั้นสามารถเข้าสู่เซลล์ได้อย่างรวดเร็วค่ะ